วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจาะกึ๋น "คงเดช" ผู้กำกับ "เฉิ่ม"



get-fans-234x60
ภาพยนตร์เรื่อง "เฉิ่ม" (Midnight My Love) หรือ "มิดไนท์เพลงรัก" ชื่อเรื่องที่แท้จริงซึ่ง "คง เดช จาตุรัตน์รัศมี OSK108" นักร้องนำวงป๊อบอินดี้'สี่เต่าเธอ', นักแต่งเพลง, นักเขียนบท (เดอะ เลตเตอร์ และเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง) และผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ตั้งชื่อไว้ให้ แต่ด้วยเหตุผลทางการตลาดของนายทุน ทำให้หนังต้องถูกเปลี่ยนชื่อไป..... ชื่อเรื่อง เฉิ่ม การตัดต่อภาพยนตร์ตัวอย่าง ที่คัดเอาเฉพาะฉากบางฉาก ส่งผลให้คนดูเข้าใจไปได้ว่า นี่คือ หนังรักโรแมนติก-คอมเมดี้ สไตล์ฮอลลีวู้ดที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ถึงพล็อตเรื่องใส ๆ น่ารัก ๆ เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะได้อย่างต่อเนื่อง เต็มไปด้วยไอตลบอบอวลของความสุขสมหวัง นั่นคือ เหตุผลทางการตลาดที่บอกได้ว่า เป็นการหลอกคนดูให้เข้าใจธีมของเรื่องราวผิดแปลกไป ทั้งที่ความจริง นี่คือ หนังดราม่าหนักหน่วง ที่ใช้ซิมโปลิสตลอดทั้งเรื่องในการเสียดสีสังคมปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมาและ เผ็ดร้อน


"เฉิ่ม" ภาพยนตร์ไทยน้ำดีอีกหนึ่งเรื่อง แม้กระแสการตอบรับจะฉีกออกเป็น 2 แนวทางชัดเจน บางส่วนชื่นชอบ ชื่นชม กับอีกส่วนรู้สึกไม่ชอบ อันนี้คือ เรื่องนานาจิตตังของมนุษย์ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ แนวทางการทำหนังของผู้กำกับ ที่บอกว่าตัวเองเป็นคนเนิร์ดคนนี้ "คงเดช จาตุรัตน์รัศมี OSK108" ชัดเจน และเป็นตัวของตัวเอง ด้วยแนวคิดที่น่าสนใจไม่น้อยหน้าใคร

หลายคนอาจสงสัยว่า ภายใต้กรอบแว่นสีดำ ผู้ชายคนนี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง...
นอกจากเป็นผู้กำกับหนังแล้ว คงเดช คือ นักร้องนำของวงดนตรีฉีกแนว อินดี้สุดขั้วอย่าง "สี่เต่าเธอ" ที่เขาและเพื่อน ๆ ในวง ยืนยันว่า เล่นดนตรีไม่เก่ง และเล่นเป็นเฉพาะเพลงในอัลบั้มของตัวเองเท่านั้น

ร้องอย่างเดียวคงไม่พอใจเขา คงเดช เป็นนักแต่งเพลงด้วย และยังคงถ่อมตัวเหมือนเดิมว่า ไม่ใช่นักแต่งเพลงที่เก่งฉกาจแต่อย่างใด

อีกทั้งหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังเรื่องแรกในการกำกับของเขา "สยิว" คือ งานชิ้นแรกของคงเดช แม้ตัวหนังจะไม่เปรี้ยงปร้างนัก แต่ก็มีแนวทางที่ชัดเจนของตัวเอง

นอกเหนืองานกำกับ คงเดช ยังเป็นนักเขียนบทมือดี ผลงานสร้างชื่อเสียงที่สุด น่าจะมาจากภาพยนตร์ "เดอะ เลตเตอร์" ที่เข้าฉายไปเมื่อปีก่อน และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งในภาพยนตร์เรื่อง เฉิ่ม นั้น เขาก็ทำหน้าที่ทั้งกำกับและเขียนบทควบคู่กันไปด้วย

บทสัมภาษณ์ของ "คงเดช" ในอดีต ตอนวันเปิดตัวหนัง "เฉิ่ม"

* หนังเรื่องนี้นี่จริง ๆ เป็นแนวอะไรครับ
-  ผมเรียกมันว่าโรแมนติกนะครับ เพราะว่า... คือบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นโรแมนติกดราม่าอะไรอย่างงั้น แต่ว่าผมรู้สึกว่า ไอ้ดราม่าที่มันเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ มันเกิดเพราะความโรแมนติก โรแมนติกโดยแท้อ่ะ คือผมรู้สึกว่าโรแมนติกของไทยกับฝรั่งมันแตกต่างกัน ตรงที่ว่าคนไทยมักจะมองในแง่มุมของความรักอย่างเดียว แต่ว่า...โรแมนติกจริง ๆ มันมีความหมายถึงการพยายามรักษาความเป็นอุดมคติเอาไว้ ซึ่งพระเอกในเรื่องนี้ มันเหมือนจะพยายามจะรักษาความรักที่เป็นอุดมคติเอาไว้ โลกที่เป็นอุดมคติเอาไว้ ซึ่งผมรู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่โรแมนติกมาก ๆ

* ในหนังจะมีพวก "ซิมโปลิค" เยอะมาก แทบไม่มีภาพที่ไม่จำเป็นเลย ทุกภาพจะเป็น ซิมโปลิค แทบทั้งนั้น
- คือผมรู้สึกว่าเป็นอย่างนี้น่ะ คือการทำหนัง มันจำเป็นต้องเล่าด้วยภาพ ผมรู้สึกกับหนังหลาย ๆ เรื่องที่ บางทีมีภาพที่ไม่จำเป็น แล้วผมก็จะหงุดหงิด ผมก็คุยกับตากล้องไว้แต่แรกแล้วว่า ตัวภาพมันต้องทำงานเล่าเรื่อง แล้วก็เล่าอารมณ์ของตัวหนังให้ได้อย่างเต็มที่ คือ เราต้องคิดให้ดีว่า เราจะถ่ายจากจากมุมไหน ขนาดภาพไหน มันทำไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ มันควรจะมีความหมาย ดังนั้น ถ้าคุณดูแล้ว.... คนที่ดูหนังเยอะ ๆ ก็อาจจะรู้สึกว่า มัน "ซิมโปลิค" แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าเป็นคนทั่วไปดู ก็อาจจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นซิมโปลิคก็ได้ แต่เขาก็สามารถตามเรื่องไปได้

* ในส่วนของชื่อหนังล่ะครับ ได้ข่าวว่ามีการเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง
- ตอนแรกผมชอบ "มิดไนท์เพลงรัก" เพราะคำว่า มิดไนท์ ที่เป็นภาษาอังกฤษ และ เพลงรัก ที่เป็นภาษาไทย เวลามันมาชนกันแล้ว มันมีความหมายอะไรบางอย่างดี มันตอบอะไรเราบางอย่างได้ แต่ว่า...ใจจริง คือผมรู้มาแต่ต้นแล้วว่า ชื่อนี้มันไม่ขาย ถ้าถามแล้วผมอยากให้คนเข้ามาดูหนังกันเยอะ ๆ มิดไนท์เพลงรัก มันเป็นชื่อประเภทที่ คนฟังแล้วยังต้องตั้งคำถามว่า เอ๊ะ มันหนังอะไร ยังไง จริง ๆ มันเปลี่ยนมาหลายชื่อนะฮะ ซึ่งชื่อก่อนหน้านี้นะ ผมไม่พอใจจริง ๆ อย่าง 'หมาวัดอันดับหนึ่ง', 'แท็กซี่ ทน. รัก' ผมรู้สึกว่า ยังไงวะ มันก็ยังงง ๆ เหมือนเดิม แต่พอเปลี่ยนเป็น "เฉิ่ม" เนี่ย ผมก็รู้สึกว่า เออ...มันโอเค มัน Catchy(โดนใจ) มันสั้น มันพรีเซนต์บุคลิกของตัวเอกได้ มันน่าจะทำให้คนดูไม่ต้องตั้งคำถาม ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็... ชอบก็ตีตั๋วเลย

* ในเรื่องของการตลาด พยายามทำให้เห็นว่า มันเป็นแนวโรแมนติก-คอเมดี้ สไตล์ฮอลลีวู้ดไป ในแง่ของการตัดทีเซอ จริง ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่า เอ๊ะ... มันไม่ใช่หนังเราหรือเปล่า?
- จริง ๆ แล้ว ผมรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ ถ้าขายซีเรียส มันก็ขายยากอยู่เหมือนกัน หมายความว่า มันก็งง ๆ อยู่เหมือนกัน จริง ๆ หนังเรื่องนี้มันถูกคิดเรื่องการตลาดมาสักพักหนึ่งแล้วฮะ และต่างคนต่างก็หาทางไม่ออก ก็รู้สึกว่า ทำอย่างนี้คนไม่อยากเข้ามาดูแน่เลย แต่ตัวผมอยากให้คนเข้ามาดู เพราะผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่หนังที่ยากอะไร มันไม่ได้อาร์ตแบบว่า ห่างเหินคนดูขนาดนั้น ผมเลยรู้สึกว่า... เอ่อ... การขายในโทนที่เป็นกู๊ดมู๊ด แบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันเนี่ย มันน่าจะโอเค เพราะว่าจริง ๆ แล้วคือ ครึ่งแรก ๆ เนี่ย คนจะตามความรัก ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างอมยิ้มได้ แต่ว่าพอไปปุ๊บเนี่ย พอติดตัวละครแล้ว มันก็จะมีบททดสอบชีวิตอะไรเข้ามา

* ได้ข่าวว่าหนังถ่ายทำเสร็จไปแล้วตั้งปีหนึ่งใช่ไหมครับ ถึงค่อยมาฉาย
- ไม่ใช่ฮะ คือถ่ายปิดกล้องรอบแรกช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว แต่มันก็ปีหนึ่งแล้วใช่ไหม จากนั้นผมก็ตัดไป แล้วก็...ถ่ายเพิ่มแล้วผมก็เห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่เราอยากจะใส่เข้าไปให้ มันสมบูรณ์ ถ่ายเพิ่มอีกแค่ 2 วันเอง แล้วก็...ผมไม่รู้เหมือนกันว่า อะไรมันทำให้นานน่ะ แต่ผมคิดว่าก็อย่างที่บอกว่าบางทีการคิดว่าจะขายอะไร มันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน แล้วก็ผมก็หนีไปแต่งงานซะก่อน (ขำเล็กน้อย) หมายถึงว่า..เอ่อ..มันได้เวลาแต่งงานแล้วนะ...เออ...ผมก็ไปจัดการเรื่องแต่ง งานซึ่งต้องใช้เวลาอะไรอย่างเนี่ย...

* เท่าที่ดูหนังมันจะมีบางคนที่ดูเค้าพูด ๆ กัน มันจะมีความรู้สึกว่า หนังพี่ทำให้คนไม่กล้าทำความดี เพราะว่าสมบัติมันทำความดีแล้วมันไม่ได้ดี
-  อ๋อ...ผมกลับรู้สึกอย่างนี้ฮ่ะ...ผมรู้สึกว่าถ้าหนังเรื่องหนึ่งเนี่ยพูดว่า ‘ทำดีแล้วได้ดี’ แล้วทำดีเสร็จปุ๊บได้ดีเห็น ๆ เลยเนี่ย ผมรู้สึกว่ามันไม่จริง เพราะชีวิตจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่หมายความว่าชีวิตจริง ๆ แล้ว การที่จะรักษาความดี มันต้องได้รับการทดสอบที่บางครั้งมันเหนื่อยหนักเหลือเกิน เราอยากจะเลิกล้มล่ะ  เราอยากจะแบบว่า...อืม...จะทำดีไปทำไม ถ้าคุณอดทนพอแล้วเนี่ย มันจะมีสิ่งตอบแทนที่เป็นรางวัลกับชีวิต ผมรู้สึกว่าถ้าไม่เข้าถึงบททดสอบที่รุนแรงแล้ว เค้าจะไม่เห็นภาพ นึกออกไหมครับ…

* จากที่ได้อ่านในบทสัมภาษณ์พี่คงเดชใน Biscope (แมกกาซีนเกี่ยวกับภาพยนตร์) ที่บอกว่า ในส่วนของเรื่อง “The Letter” พี่ดึงเอาชีวิตจริงของพี่กับแฟนเข้าไปอยู่ในเรื่อง แล้วเรื่องนี้ล่ะครับมีไหม?
-  จริง ๆ แล้วไม่ใช่ผมกับแฟนครับ แต่เป็นคำถามที่ผมตั้งมาจากชีวิตจริง จริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้มันเปิดตัวจากเรื่องนี้แหละ คือ ผมตั้งคำถามกับชีวิต แล้วผมก็เอาคำถามมาเป็นคอนเซปต์ของหนัง เสร็จแล้วผมก็...ให้ตัวละครในนี้เดินตามกันไปตามเส้นทางเพื่อหาคำตอบ แล้วผมก็ได้คำตอบบางอย่างเหมือนกันนะ ทำหนังเรื่องนี้ มันทำให้ชีวิตเราเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น

* ในส่วนของ “ซิมโปลิค” ต่าง ๆ มีเยอะมากในหนังเรื่องนี้ “แก่น”  ของมันจริง ๆ ที่อยากนำเสนอ
-  จริง ๆ ผม แค่วางไว้ว่า ผู้ชายคนนี้กลัวความเปลี่ยนแปลง ผู้ชายคนนี้อยากจะเชื่อในโลกที่เป็นอุดมคติ เพราะว่าเค้าหลบหนีอยู่ในโลกอุดมคติที่เขาสามารถปลอบโยนใจเขาได้ มันยังมีความหวังดี ๆ รอเขาอยู่อะไรอย่างนี้ แต่ว่ามันก็ได้รับการทดสอบอย่างรุนแรง ว่าแบบ... มึงเลิกเชื่อในอุดมคติเถอะ เพราะมันไม่มีอะไรดีหรอก แต่จริง ๆ ก็ยังนึกถึงอะไรบางอย่าง สุดท้ายมันก็ได้ผลตอบแทน ฉะนั้นแบบว่า...ไอ้ซิมโปลิคเนี่ย ที่ผมใส่ไปไม่ว่าจะเล็กจะน้อยยังไง โดยรวมแล้วภาพใหญ่ ๆ ก็คือว่า ชีวิตคนมันต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงแล้วก็ไม่ยึดติดกับอุดมคติจนเกินไป บางครั้งเราต้องดื้อเพื่อรักษามัน แต่บางครั้งเราต้องยอมถอยออกมาสักก้าวเพื่อที่จะรักษามันเหมือนกันนะฮะ  คือวิธีรักษาอุดมคติ มันไม่จำเป็นต้องดื้อตลอด โดยรวมมันจะอยู่ในธีมที่เราพูดถึง โดยมันจะมีธีมหลักอยู่ดังนั้น ไม่ว่ามันจะไปเจออะไรมันจะมาตอบโจทย์

* มันจะมีช่วงหนึ่งของหนังที่มันจะมีการอ่านข่าว แล้วก็มีเกี่ยวกับเรื่องการประชุมเทคโนโลยี ตรงนั้นจะมีการสื่อถึงเกี่ยวกับรัฐบาล การเมืองหรือเปล่า
-  คือตรงนั้นผมมักจะใส่ใจกับชาวบ้านเสมอ ไม่รู้เป็นไง!! ในสยิวผมก็เคยทำอย่างนั้นอะไรอย่างเนี่ย คือผมรู้สึกว่าภาพของชาวบ้าน มันเป็นภาพที่มีชีวิต เวลาที่ผมไปสแนป ทุกเรื่องผมจะมีภาพที่ไปสแนปชาวบ้าน แล้วผมรู้สึกว่าภาพเหล่านี้มันไปสะท้อนอะไรบางอย่างของพวกเราเองนั้นแหละ เพราะพวกเราก็เป็นชนชั้นกลางเราไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีอะไร แล้วผมรู้สึกว่า ความหวังเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงผู้คน การที่รัฐบาลรับปากอะไรอย่างนี้  ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเราก็ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย แต่ว่าเราจำเป็นต้องมีชีวิตต่อไป บางครั้งเราก็ไม่สามารถที่จะไปร้องแล่แห่กระเชิง ว่า เฮ้ย!!...มึงสัญญาไว้ว่า ชีวิตเราจะดีขึ้นไม่เห็นจะดีขึ้นเลยอะไรอย่างเนี่ย ชีวิตยังต้องใช้ต่อไป แล้วผมรู้สึกว่าตรงนี้มันสะท้อนต่ออาชีพเรา

* ในส่วนของพวกมุขที่มันเป็นหนังไทย อันนี้เป็นการเอาหนังไทยสมัยก่อนมาทำการรีทัชอีกทีหรือว่าถ่ายใหม่
-  คืออย่างนี้ อันนั้นมันจะเป็นพวกละครวิทยุ ผมเขียนบทขึ้นมาเองใหม่แล้วผมก็ให้คณะละครวิทยุไปผลิต ผลิตเสร็จคือผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า อยากจะได้เสียงก่อน เสร็จแล้วผมเอาเสียงนั้นน่ะมาเปิดในกองให้ตัวแสดงซิ้ง ซึ่งผมต้องการให้ซิ้งนั้นไม่ตรงด้วยนะ ซึ่งตรงบ้างไม่ตรงบ้างเอาเลยพี่ งับ ๆ ปากไป เออ... เพราะผมรู้สึกว่ามันแสดงถึงเคาว์เจอร์บางอย่างของไทยได้ แล้วก็ส่วนนั้นผมใช้เอาฟิล์มไปโดนแสงก่อน ปกติฟิล์มห้ามโดนแสงก่อนถ่าย เอาไปแฟลชแสงก่อน คือจะไปคุยทางแลปก่อนว่า จะมีวิธีไหนบ้างที่มันจะเป็น manual จะไม่ใช้ CG ผมอยากจะใช้อะไรที่มันพื้นบ้าน เอาฟิล์มไปโดนแสงก่อน ผมใช้เลนซ์เทเลสโคปถ่าย เขาเรียกเลนส์อานามอฟิก ทำให้ภาพเวลามาถ่ายกับปกติแล้วเนี่ย หน้ามันจะถูกบีบไปแล้วมันจะเหมือนกับหนังเก่า ๆ พอล้างเสร็จปุ๊บก็มาทำรอยจาก manual เลยนะ ขูดให้มันมีรอย

* จริง ๆ จะสื่อเกี่ยวกับการอนุรักษ์หรือว่ายังไง หรือว่าพี่ชอบเพลงเก่า หนังเก่า
-  ก็คือ ผมชอบ... อย่างที่ผมบอก จริง ๆ ผมติดช่อง AM เองมาก่อนนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นโลกที่สวยงาม อุดมคติ เสร็จแล้วผมอยากจะใส่เคาว์เจอร์นี้เอาไว้ในหนัง  เพราะว่า มันปลอบประโลมตัวละคร ผมใส่มาเพราะว่านี่คือ channel ที่มันปลอบประโลมตัวละคร แล้วก็...ไอ้พวกรอย... เรย... หรืออะไรทั้งหลายเนี่ย ผมรู้สึกว่า พยายามจะทำให้มันซิ้งกับคุณภาพเสียงวิทยุ AM ซึ่งมันไม่คมชัดแล้วจะมีสัญญาณปุบปับ ๆ ตลอดเวลา เอกซ์เซนพวกนี้มันเหมือนเป็นสัญญาณรบกวนตลอดเวลา

*ทำไมต้อง Macdonald ด้วย
- เออ...คือผมรู้สึกว่า มันก็เป็น...ก็ผมเขียนบทไปว่าต้องเป็น macdonald  ผมไม่ได้คิดอะไรเลยเรื่องการตลาด แล้วก็ไม่ได้รับความร่วมมืออะไรกับ macdonald เป็นพิเศษ ก็คือ..ไปขอถ่าย ในส่วนของ Macdonald ผมคิดว่ามันเป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ความรวดเร็ว ฉาบฉวยอะไรอย่างนี้ กับรสชาติที่เทียบกับต้มเลือดหมู อะไรเงี้ย คือผมเป็นคนที่ชอบกินต้มเลือดหมูอยู่เจ้าหนึ่ง แล้วคนที่ทำเนี่ย...เค้า...เค้าจ๊าบมาก คือเค้าทำอย่างใจเย็น ๆ  แล้วเค้าจะลวกแต่ละอย่างเนี่ย เค้ามีขั้นตอน ต้องลวงก่อนไอ้นี่ ก่อนไอ้นี่ แล้วไอ้นี่ต้องท้ายสุด เพราะว่าแต่ละอย่างมันสุกไม่พร้อมกัน ห้ามลวกพร้อมกัน ลวกพร้อมกันนี่แบบขยะ ผมรู้สึกว่า มันเป็นขั้นตอนที่ละมุนละไม ค่อย ๆ ทำ

* ร้านอยู่แถวไหนครับ
- คือผมไปเจอร้านแถวสวนหลวง มันเป็นเกาเหลาตำลึงเลือดหมูฮะ..ยังกินอยู่ คือถ้ามีโอกาสไปแถวสวนหลวงเนี่ย ผมจะไม่แวะร้านอื่นเลย ผมจะตรงเข้าไปที่ร้านนี้ แล้วก็จะรอนานมาก เจ้าของร้านดุด้วย เพราะแบบว่าใครบ่นรอนานเค้าแบบไล่เลย หรือแบบวันนี้เหนื่อยล่ะ กูไม่ทำล่ะ อะไรอย่างเนี่ย...มันจ๊าบมาก

* หนังเรื่องนี้มีอัลบั้มซาวด์แทกซ์ไหมครับ
- เออ...ตอนนี้ยังไม่มีโปรเจกท์ ยังไม่มีโครงการว่าจะทำ คือเราใช้เพลงสุนทราภรณ์ในเรื่องทั้งหมด 8 เพลง นอกนั้นก็เป็นสกอร์หมดเลย  คือผมรู้สึกว่าถ้าจะทำอัลบั้มขึ้นมาเนี่ย จริงๆ มันต้องคุยกับทางสุนทราภรณ์ คือผมจะดีใจมาก ถ้าคนดูหนังแล้วรู้สึกว่าเพลงเพราะ แล้วก็เดินไปที่ “แม่ไม้เพลงไทย” แล้วก็ซื้อฉบับดั้งเดิม ไม่ใช่ซื้อฉบับพี่เบิร์ด หรือว่าโคเว่อร์นะ ต้องเอาฉบับดั้งเดิมนะ ผมจะรู้สึกดีใจมาก

* สงสัยว่าพี่เป็นนักแต่งเพลง แต่พอทำหนังกลับไม่แต่งเพลงให้หนังสักเพลงหนึ่งเลย ไม่มีอัลบั้มซาวด์แทกซ์สักหน่อยเหรอ
(หัวเราะชอบใจ) ....คือผมรู้สึกว่ามันจงใจไปมั้ง แล้วก็... จริง ๆ ตอนนั้น ตอนสยิวผมก็ทำไปทีแล้วนะ พอดีทาง Fat (คลื่นวิทยุ Fat Radio 103.5) เขามีโครงการ แล้วเราก็รู้สึกสนุก ก็ทำ แล้วก็มีเพลงพิเศษสำหรับหนังด้วย แต่ว่า เพลงที่ผม แต่ผมไม่ได้เป็นคนเขียน ไม่ใช่ ไอ้เจษ-เจษฎา หรรช่อ เขียนหัวใจกระดาษอะไรอย่างเนี่ย บังเอิญ ผมมันไม่ได้ป๊อบขนาดนั้น

* เหมือนกับหนังเรื่องนี้มันจะโดนกับแนวเพลงพี่ ผมนึกว่าจะมีสักเพลงหนึ่ง แต่ไม่มีเลย เพราะในตัวหนังจะหลุด ๆ ไปหน่อย ก็จะคล้าย ๆ แนวเพลงพี่เดช
- คืออย่างที่บอกว่า ผมคารวะมากเลย ผมทำด้วยความรู้สึกว่า อยากจะคารวะเพลงสุนทราภรณ์เหล่านี้ ผมอยากจะคารวะละครวิทยุ ถ้าคนดูแล้วแบบชอบใจ หันไปเปลี่ยนฟังละครวิทยุบ้าง หรือว่าออกมาแล้วไปซื้อเพลงสุนทราภรณ์ฉบับ …ดั้งเดิม... (เน้นเสียงหนักแน่นมากเป็นพิเศษ) ด้วยนะ ผมจะดีใจมาก เป็นความตั้งใจ มันไม่เกี่ยวกับเรื่อง...อื่น...

* จริง ๆ ตอนแรกนี่ ตัวละครพี่เลือกเองเลยรึเปล่าครับ นักแสดงทำไมต้องเป็นหม่ำ เป็นนุ่น
- เลือกเองตลอดครับ..เลือกเองตั้งแต่ผมเขียนทรีสเมนท์  ผมเห็นแต่หน้าพี่หม่ำ (หัวเราะ) คือผมเห็นเป็นหน้าพี่หม่ำตลอด แล้วนุ่นเนี่ยผม..เอ่อ..มาเจอทีหลัง คือผมมาแคสทีหลังแล้วค่อยเจอว่า.. เฮ้ย!!...นุ่นก็ดีเหมือนกัน ตอนแรกก็อย่างที่บอก ผมก็ไม่ค่อย... ไม่แน่ใจว่านุ่นสวยไปหรือเปล่าวะ แต่ปรากฏว่า นุ่นมีศักยภาพสูงมาก คือผมต้องการ..คือนักแสดงสองคนในเรื่องนี้เดินเรื่องหลัก ผมมีความรู้สึกว่า ต้องเป็นคนที่..แบบมีเสน่ห์พอที่จะให้คนดูจับจ้องจอได้ตลอด แล้วก็สองคนนี้ก็แบบ... ทำได้ดี

* ช่วงต้น ๆ ดูแล้วฉากมัน... ดูแล้วนึกถึงหนัง "หว่อง กา ไว"
- อู้หูย...!!..ดีใจ...ถ้าพูดกันอย่างนั้น...คือ อย่างนี้ผมพยายามทำหนังโดยที่ไม่มี reference ผมคุยกับทีมงานเสมอว่า ผมไม่อยากทำหนังแบบมี reference นะ เพราะว่าถ้าเราทำแล้ว เราสร้างบรรยากาศของตัวเองขึ้นมาได้เมื่อไหร่เนี่ย ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะผมรู้ไงว่า การทำหนังทุกวันนี้ หลาย ๆ ที่ หลาย ๆ กอง หลาย ๆ เรื่อง ทำหนังโดยที่แต่ละฉากเนี่ย จะเอาหนังเรื่องนั้นมาดู...นี่ฉากนี้เราอยากจะได้แบบนี้ พอถึงฉากตอนจบเราอยากได้แบบนี้ แล้วผมรู้สึกว่ามัน มันไม่เพียวเลยอ่ะ แล้วอะไรล่ะที่มันเป็นตัวเรา อะไรอย่างเนี่ย ผมก็จะไม่ให้เค้าดูอะไรเลย นอกจากหนังเรื่องหนึ่ง เรื่อง ยียี เป็นหนังไต้หวัน แต่ว่ามันก็ไม่เหมือนกันอีกนะ อันนั้นเป็นชีวิตครอบครัว แต่ผมรู้สึกว่าหนังมันจะดำเนินไปอย่างเนี่ย ค่อย ๆ ดำเนินไปนะ ไปจนจบ มันจะแบบ...มันจะไม่กระโชกโฮกฮาก แล้วก็อาร์ตไดเรกชั่น คุมโทนประมาณนี้ ไม่โดดเกินไป ไม่ฉูดฉาดมาก.. ผมรู้สึกว่า...คนอาจจะรู้สึกร่วมกันไปว่า..เป็นหนัง หว่อง กา ไว เพราะว่ามันเป็นอารมณ์ของคนเหงาในเมืองใหญ่ ซึ่งผมรู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นสากล แต่ว่าหนังผมไม่มีกล้องวูบไหวแบบ หว่อง เลย

* นอกจากที่บอกว่า ขับรถไปบนสุขุมวิทแล้วมันยังมีอะไรอย่างอื่นอีกไหมครับ ที่เป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะทำหนังเรื่องนี้
- จริง ๆ ไอ้ไอเดียนี้ ผมเก็บไว้ในหัวนานแล้ว ตอนที่ผมขับไปกลางสุขุมวิทเนี่ย ผมมีก้อนไอเดียอยู่ในหัว แต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าจะทำออกมาเป็นหนังยังไง แต่มันมีอยู่คืนหนึ่ง...เอ่อ...ผมขับรถกลับจากอยุธยาประมาณ ตี 3 อ่ะฮะ เสร็จแล้วผมก็เปิดช่องนี้ฟังอยู่..ช่อง AM  เนี่ยฮะ แล้วเค้าก็เปิดเพลง “ตรอมใจรัก” คือเป็นเพลงธีมของหนังเรื่องนี้เนี่ยนะฮะ ที่ใช้เปิดปิดหนังเรื่องนี้ คือตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่า มันเป็นเพลงอะไร แต่ผมรู้ว่าไม่ได้ยินมาเป็นสิบปีแล้ว คือมันเป็นเพลงเศร้า แล้วผมก็พบว่าช่วงเวลานั้นเนี่ย มองไปรอบตัว บนไฮเวย์ที่ผมขับ มีรถผมอยู่คันเดียวเลย ..หายไปไหนกันหมด.. คือผมมองไปสุดลูกหูลูกตาเลย ถนนมันมืดมากเลยแล้วก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลย ผมเหงาจับจิตเลยอ่ะ แล้วทีนี้ก็เศร้ามาก แล้วจู่ ๆ เรื่องทั้งหมดมันก็พุ่งเข้ามาในหัวเลยนะ แล้วผมก็ขับรถรีบบึ่งกลับบ้านแล้วรีบเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นมา มันพูดยากนะฮะ มันเป็นช่วงเวลาฟ้าประทาน..(หัวเราะ)..สุด ๆ ไปเลย แล้วผมมา... แบบผมดีใจมากเลยฮะ ที่ผมพบช่วงเวลานี้

* อย่างที่บอกว่า บูชาเพลงสุนทราภรณ์ มีอย่างอื่นอีกไหมครับ มีคนอื่นอีกไหมครับ เกี่ยวกับเรื่องวงการหนัง ส่วนใหญ่ที่บอกว่า มีคนทำหนังเรื่องนี้เพื่อบูชาคนนี้ที่เราเคยชอบมาก่อน
- ไม่เคยครับ...ผมบูชาเคาว์เจอร์ของวิทยุ AM  เพราะว่าผมเสพติดมาก่อน ก่อนที่จะทำหนังเรื่องนี้  อย่างที่บอก โลกวิทยุ AM มันยังค่อนข้างสวยงามอยู่ มันค่อนข้างจะอุดมคติ แล้วผมรู้สึกว่า... ไอ้สิ่งเนี่ยที่เราต้องรักษามันไว้ โลกของความมีอุดมคติ เพราะว่าทุกวันนี้ เรามักจะเจออะไรที่มันจริงมาก ข่าวร้าย ๆ ในสังคม แล้วเราก็แบบเลยจะเฉยชา ต่อมเรามันจะชินแล้วอ่ะ แล้วผมรู้สึกแบบว่า ...ไม่ยอม… ทำหนังเรื่องนี้เพื่อที่จะบอกว่า...เฮ้ย!..มันต้องรักษาอุดมคติเอาไว้ มันต้องรักษาเอาไว้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นสิ่งที่อาจจะบอกว่าเชย แล้วก็แบบว่า มันไม่จริงหรอก โลกนี้มันโหดร้ายเกินกว่านั้น แต่จริง ๆ แล้วยังต้องยึดมั่นในสิ่งนั้น อะไรอย่างเนี่ย ก็ในโลก AM เนี่ย มันเหมือน “ซิมโปนิค” ที่ผมทำเป็นภาพแทนภาพเสมือน

* หนังที่พี่ชอบเป็นพิเศษจะเป็นหนังเกี่ยวกับประเภทไหน ที่บอกว่าชอบดูหนังนั้นมาก
-  ก็...ผมไม่ระบุ มันมีหนังในดวงใจอยู่หลายเรื่องนะครับที่ผมชอบ ผมชอบ “ซิตี้ไลท์” ของชาร์ลี แชปปิ้น ชอบมากเลย เป็นหนังในดวงใจมาก และจริง ๆ แล้วตอนจบของหนังเรื่องนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก ซิตี้ไลท์ อยู่เหมือนกัน คือสุดท้ายก็มาเจอกันหลังจากพลัดพรากกันอะไรอย่างเนี่ย แล้วก็ผมชอบ “เนกสตอปวันเดอร์แลนด์” เป็นหนังอเมริกา อินดี้ เหมือนกัน เป็นพวกหนังทางแดนซ์อ่ะครับ หนังดูง่าย สนุกมากแล้วก็เต็มไปด้วยดนตรี Bossnova เออ..ผมชอบ “A MAN AND A WOMEN” หนังฝรั่งเศส นานแล้วครับประมาณ 30-40 ปีที่แล้ว ..ก็นอกนั้นผมก็..โฮ!..มันมีอีกเยอะอ่ะครับ......ผมก็ชอบ หนังตลกร้ายอย่างของพวกพี่น้องโคเอน ผมก็ติดตามมาเสมอ แต่สองเรื่องหลังเริ่มไม่ดีล่ะ ก็อีกเยอะอ่ะฮ่ะ ........คือมักจะเลือกดูหนังตามผู้กำกับอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเวลาที่เรารู้ว่า เวลาเราไปดูหนังเนี่ย มันเหมือนกับเข้าไปทำความรู้จักกับโลกของผู้กำกับคนนั้น แล้วก็เราติดใจโลกของใคร เราก็เข้าไปโลกนั้น ผมชอบ “พอล โธมัส แอนเดอร์สัน” มาก ผมชอบ “โจว ซิน ฉือ” มาก ผมชอบ “อดัม แซนเลอร์” มาก มันฉีกไปอีกขั้วเลยนะ แต่ผมจะชอบมากเลย ผมรู้สึกว่าคนพวกนี้มีโลกชัดเจน ชอบดูหนังที่มันมีความชัดเจน ว่าโลกของคุณเป็นยังไง

* เอ่อ... เดี๋ยวผมลืมอันนี้ไปครับ AM นี้ คลื่นอะไรครับ ฟังคลื่นอะไรบ้าง
- AM 792 ครับ...ผมฟังอยู่คลื่นเดียวเลยฮะ จริง ๆ มันจะมีพวก 1035 อะไรอย่างเนี่ย แต่ผมติดช่องนี้เพราะว่ามันโดนอ่ะฮ่ะ...(หัวเราะ)  เช้าจดเย็นมีละครเป็น 10 เรื่องเลย แล้วก็ตอนห้าโมงเย็นถึงหกโมงเย็น เป็นคุณลุงมาอ่านข่าว แต่ว่าวันก่อนผมเปิดไปฟังแล้วพบว่า คุณลุงเปลี่ยนคนแล้ว ซึ่งเสียดายมาก เพราะผมชอบคุณลุงมาก แต่ว่าตอนเที่ยงคืน แกก็จะมีคิวของแกอีกที ไม่รู้ว่าแกจัดหรือเปล่า ต้องกลับไปฟังอีกครั้งหนึ่ง เนี่ยอ่ะครับ แม้แต่วิทยุ AM ที่ผมฟังอยู่ มันก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงเลย...(หัวเราะ)... คือสุดท้าย..โอ้!!ว่ะ...เราต้องยอมรับความจริง เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกให้ได้

* ที่บอกว่าตอนนี้ยังมีแนวคิดอยู่ในหัวอีก
- คืออย่างนี้ผมไม่กล้าพูดเพราะว่าตอนนี้มีเยอะอยู่ สาม... สี่... ห้า... เรื่องเลย แต่ว่ายังไม่เตรียมครับ มันต้องรอดู...คืออาชีพนี้มันเป็นอาชีพที่พร้อมจะ หมา ได้ทุกเมื่อนะครับ แล้วก็แบบว่า...เออ...เราจะทำยังไงให้ขายโปรเจกต์ต่อไปได้ เพราะจริง ๆ ที่มีอยู่ในหัวเนี่ย ผมอยากทำทั้งนั้นเลย แต่ว่า...เอ!...จะขายนายทุนยังไงวะ... เพราะสุดท้ายเนี่ย เรื่องเฉิ่ม เนี่ย!...ผมก็ทำให้เค้ารู้สึกสนใจแล้วก็ยอมทำ ทั้ง ๆ ที่มันส่วนตัวมากเลย ก็ทำมันอย่างเพียวมาก ทำอย่างเราไม่ได้ใส่ใจการตลาดเลย ถ้าไปดูแล้วจะรู้สึกได้

* คำถามสุดท้าย อยากให้พี่ทิ้งท้ายแนวคิดการทำหนังเรื่องต่อ ๆ ไป เผื่อแนวคิดจะช่วยเหลือสำหรับคนที่มีปัญหาของการใช้ชีวิต ฟังแล้วอาจจะเข้าใกล้คำตอบของการใช้ชีวิตมากขึ้น
- คือตอนนี้ที่มีเนี่ย  มีทั้งหนังเพลง หนังเพลงนะครับแต่เป็นเพลงที่พ้นสมัยไปแล้วอีกเหมือนกัน ไม่ใช่เพลงเก่าแต่เป็นเพลงที่วัยรุ่นทุกวันนี้อาจจะรู้สึกว่ามันเชยอ่ะ แล้วก็มีทั้งหนังคนแก่ ตัวละครเอกนี้ต้องแก่เลยอ่ะ แล้วก็เป็นหนังที่ท้าทายเรื่องความ...เค้าเรียกว่าอะไร...ความเหี่ยวย่นของเนื้อหนังมังสา แบบมันต้องพิสูจน์อะไรบางอย่าง..แบบยังหนังเหนียวนะ แต่ว่าที่จริงมันเป็นเรื่องตลกแล้วก็โรแมนติกนิด ๆ อะไรอย่างเนี่ย แต่จะห่าม ๆ หน่อย มันจะห่าม ๆ กว่านี้

* ในส่วนของหนังเพลงที่มีแต่ร้องทั้งเรื่องเลย
- เคยคิดเหมือนกันแต่ว่าอันนั้นเป็นอีกแนวหนึ่ง อันนั้นมันจะยิ่งขายยาก เพราะมันจะเป็นหนังเพลง ‘70 มันจะเป็นหนังเพลงยุคที่เมืองไทยยังชอบ COVER เพลงชาวบ้านมาใส่เนื้อเพลงตัวเอง นึกออกไหม คือ ยุคแกรนเอ็กซ์ รอยัล สไปร์ท ยุคเศรษฐา ฉันทนา ที่เอาทำนองฝรั่งมาใส่เนื้อไทยหมดเลย ผมอยากจะทำหนังเพลงอย่างนั้นมากเลย เพลง COVER หมดเลย เพราะว่าเนื้อหามันจะจี๊ดจ๊าดมากในยุคนั้น ก็จริง ๆ มันจะมีหนังเพลงเกี่ยวกับเพื่อชีวิตที่ out แล้วเหมือนกัน ไม่อยากบอกเลย..โป๊หมดแล้ว... มียังมีอีกหลายเรื่องเลย แต่ผมจะชอบเล่นกับเรื่องที่มัน

เช พระราม5

get-fans-468x60

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น